skip to main | skip to sidebar

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

7 การปลดผู้จัดการทีมที่แย่ที่สุด

0 ความคิดเห็น
เดี๋ยวนี้โลกฟุตบอลมันเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเยอะเหลือเกิน ฟุตบอลเข้าสู่โลกธุรกิจมากขึ้น ผู้ที่เข้ามาเทดโอเวอร์สโมสรส่วนใหญ่ก็เพื่อเน้นทางธุรกิจมากเกินไป มากกว่าที่จะเข้าใจฟุตบอลจริงๆ วันนี้เราจะมาดู 7 การปลดผู้จัดการทีมที่แย่ที่สุด

7. เเซม อาราไดซ์ (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส) แซมได้เข้ามาจัดการทีมแบล็ค เบิร์นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยลดภาระค่าใช้จ่ายของทีมตั้งแต่ฤดูกาลแรก และพาทีมแบล็คเบิร์น จบบนหัวตาราง แถมยังพาทีมเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศของถ้วยลีกคัพในฤดูกาลที่สอง แต่ไม่วายก็ถูกปลด ในเดือนตุลาคม 2010 ในขณะที่แบล็คเบิร์น อยู่อันดับที่ 13 ด้วยความข้องใจของเหล่านักเตะและแฟนบอล

6.คริส ฮิวตัน(นิวคาสเซิล) ถูกรับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม ภายใต้ความหวังของแฟนบอล หลังจากที่นิวคาสเซิลตกชั้นไป และฮิวตันก็สามารถพานิวคาสเซิลกลับมาที่พรีเมียลีกส์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ เค้าก็สามารถควบคุมห้องนักเตะได้ มันไม่ง่ายเลย ที่จะควบคุมนักเตะที่มีปัญหาแคโรล กับ บาร์ตัน แต่ก็ถูกไมแอชลีปลดออกอยู่ดี

5.โรแบโต้ ดิ มัชเตโอ้ (เวสต์บรอมวิช) ได้รับสิทธิพิเศษกับเวสบรอมตั้งแต่ฤดูกาลแรกและขอบคุณสำหรับความฉลาดของทีมที่มีการดีลที่ยอดเยี่ยมครั้งนี้ ดิมัชเตโอ้ยังทำทีมได้ดี โดยเน้นไปที่เกมรุก และยังสร้า้งสถิติที่น่าสนใจด้วย แต่สุดท้ายกุนซื้อชาวอิตาเลียนรายนี้ก็ยังโดนปลดอยู่ดีนั้นแหละ

4.มาร์ติน โยล (สเปอร์) ก่อนที่โยลจาถึง ไวท์ ฮาร์ท เลน แฟนบอลสเปอร์สไม่ได้คาดหวังกับตัวเค้ามากนักที่จะนำสเปอร์สไปเล่นแชมเปี้ยน ลีกส์ แต่โยลสามารถทำให้สเปอร์สเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
ที่สามารถต่อกรกับทีมใหญ่้ๆได้ แและจบอันดับที่ 5 ของตารางแต่เค้าก็ถูกปลดและให้ ฆวนเต้ รามอส
กุนซือชาวสเปนที่ประสบความสำเร็จกับเซบียาสมาคุมทีมแทน แล้วสุดท้ายเป็นยังไงครับ ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่

3.โชเซ่ มูริญโญ่(เชลซี) ต้องเรียกได้ว่าเป็นความผิดพลาดของการปลดครั้งนี้เลยก็ว่าได้ เพราะกุนซือชาวโปรตุเกสรายนี้ หลังจากที่ได้ถ้วยแชมเปียนลีกส์กับปอร์โต้ ก็สามารถทำให้เชลซีเป็นทีมชั้นนำของยุโรปได้ หลังจากเข้ามาควบคุมทีมในฤดูกาลแรก ก็สามารถโค่าความยิง่ใหญ่ของ แมนยูได้ โดยการเป็นแชมป์ พรีเมียลีกส์ 2 สมัยติดต่อกัน และยังคว้าถ้วยคาร์ลิ่ง กับเอฟเอคัพได้ด้วย เพียงแต่ไม่สามารถร่ายถ้วยแชมเปี้ยนลีกส์ให้กับโรมันอับราโมวิชเจ้าของสโมสรได้ จึงถูกปลดไป แต่หลังจากที่ถูกปลดไปมูริญโญ่ก็สามารถพาอินเตอร์ กวาดทริปเปิ้ลแชมป์ได้ด้วย

2.ไบรอัน ครัฟ(ดาร์บี้) เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ถูกปลดออกไม่กี่เดือนหลังจากที่พาดาร์บี้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศของ ยูโรเปี้ยน คัพ

1.บิเซนเต้ เดล บอสเก้(รีล มาดริด)กุนซือที่พาสเปนเป็นแชมป์โลกสมัยแรกได้ และยังเป็นกุนซือที่อยู่ีในใจแฟนบอลรีลมาดริด เป็นกุนซือคนหนึงที่ให้ กาลาติกอสสมควรที่จะเล่นอย่างที่พวกเขาควรจะเป็น และยังไม่มีกผู้จัดการทีมคนใดที่สามารถทำอย่างเดล บอสเก้ได้ ถ้วย ลาลีกา 2ถ้วยและยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ 2ถ้วยจากการคุมทีม 4ปี 


สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ soccernews.com นะครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่ายังมีอันเชล็อตติอีกคน แต่ผมว่าฟุตบอลสมัยนี้เจ้าของเน้นธุรกิจมากกว่าที่จะรักฟุตบอลจริงๆ

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

รองเท้าฟุตบอล ช่วง 1940 ถึงปัจจุบันและอนาคต

0 ความคิดเห็น
Hummel 1920 Football Boots 

หลังจากที่ผมเล่าเรื่องรองเท้าฟุตบอลจนถึงช่วง 1900 ในบทความที่แล้ว เรามาดูรองเท้าฟุตบอลในช่วง 1940 มาถึงปัจจุบันกันครับ

หลังช่วงปี 1940 เป็นต้นมา รองเท้าฟุตบอลได้มีการพัฒนาให้มีรูปร่าง และน้ำหนักที่เบาขึ้น



ซึ่งจะเห็นใส่กันแถวแถบอเมริกาใต้ ที่ถือว่ากำลังก้าวเท้าเข้าสู่ความเป็นระดับโลก ด้วยทักษะและเทคนิดต่างๆของพวกเขาที่สร้างความมหัศจรรย์ให้แก่ผู้ชมอย่างพวกเรา

รองเท้าฟุตบอลในช่วงนี้ได้ออกแบบขึ้นมาให้เบาและยืดหยุ่นได้ ก็เพื่อเน้นไปที่การเตะและคอนโทรลบอลมากกว่าในสมัยก่อนที่จะเอาไว้ป้องกันตัวผู้เล่นซะมากกว่า

ช่วงปี 1948 บริษัทอดิดาสได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้การนำของอดอร์ฟ ดาสเลอร์ ซึ่งแยกตัวออกมากับน้องของเขา รูดิ ดาสเลอร์ เนื่องจากปัญหารูปแบบของรองเท้าฟุตบอล ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน และรูดิ ดาสเลอร์ก็ได้ก่อตั้ง บริษัท พูม่าขึ้นมาในปีเดียวกัน

โดยรองเท้าฟุตบอลพูม่าของรูดินั้นได้ผลิตปุ่มสตั๊ดที่ทำขึ้นมาจากพลาสติกและยางขึ้นมาเป็นครั้ง แรก

หลังช่วง 1960 เป็นต้นมา เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในพัฒนารองเท้าฟุตบอล รองเท้าฟุตบอลได้มีรูปแบบที่ดีขึ้น เพื่อให้เหมาะกับนักเตะหลายๆคนที่มีความเร็ว อย่าง

อย่างรองเท้าพูม่าที่ เปเล่ ตำนานนักฟุตบอลใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1962

อาดิดาสก็ได้เป็นผู้นำทางผลิตภัณฑ์กีฬาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี 1966 นักเตะในฟุตบอลโลกกว่า 75% ใช้ผลิตภัณฑ์ของอาดิดาส

ในช่วงนี้ เริ่มมีแบรนด์ หลายๆแบรนด์เกิดขึ้น ไม่จะเป็น Mitre (1960), Joma (1965) และAsics (1964)

ช่วง 1970 เป็นปีที่บราซิลได้ชูถ้วยฟุตบอลโลก ภายใต้การนำทีมของเปเล่ซึ่งตอนนั้น เปเล่ได้พูม่ามาเป็นสปอนเซอร์ ในขณะที่เปเล่ชูถ้วยแชมป์ เค้าก็ได้ใส่รองเท้าพูม่าอยู่ด้วย
Adidas Football Boot 
ปี 1979 อาดิดาสเป็นรองเท้าฟุตบอลที่ขายดีที่สุดในโลก โดยทำมาจากหนังของจิงโจ้ เพื่อใช้ในความเร็ว และความสามารถพิเศษต่างๆ และในปี 1977 แบรนด์กีฬา diadora ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

ในช่วง 1980 มีการพัฒนารองเท้าฟุตบอลที่พิเศษขึ้น นั้นก็คือ รองเท้าฟุตบอลพรีเดเตอร์
(predator) โดย เคร็ก จอห์นสตัน ซึ่งปล่อยออกมาโดย บริษัท อาดิดาส จอห์นสตันต้องการออกแบบ พรีเดเตอร์ ก็เพื่อให้รองเท้าฟุตบอล สัมผัสกับลูกฟุตบอล และสนามฟุตบอลได้ดีขึ้น

การออกแบบทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้นักฟุตบอลควบคุมและจบสกอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

ในช่วงปี 1980 นี้มีบริษัทที่เปิดใหม่ก็คือ อัมโบร(1985) ลอตโต้(1982) เกลเม่(1982)

ช่วงปี 1990

พรีเดเตอร์ในช่วงนี้นั้นจะใช้วัสดุสังเคราะห์ในการทำรองเท้าฟุตบอลขึ้น ทำให้รองเท้า พูม่ากลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปี 1996 มิซูโนะบริษัทของญี่ปุ่นก็ได้ปล่อย mizuno wave ออกมาในปี 1997 บริษัทที่ผลิตรองเท้าฟุตบอลอื่นๆที่เปิดในช่วง ปี 90 ก็จะมี Reebok (1992) and Uhlsport (1993) แต่ช่วง 90 ที่ต้องบอกว่าเป็นที่ฮือฮาที่สุด บริษัท nike แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันมาจนถึงปัจจุบัน ได้ปล่อย Nike Mercurial soccer boot ออกมาในปี 1998 ซึ่งมีน้ำหนักราว 200 กรัม

ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา

การใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการพัฒนารองเท้าฟุตบอลเพิ่มมากขึ้น มีอุปกรณ์ต่างๆมาทำการวิจัยและพัฒนาให้เห็นมากขึ้นในช่วงนี้และเป็นการแข่งขันกันระหว่าง 3 ยักษ์ใหญ่แห่งผลิตภัณฑ์กีฬา แข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นเจ้าตลาด ไม่ต้องบอกก็รู้กันว่าต้องเป็น อาดิดาส ไนกี้ และพูม่า

ช่วงปี 2000 มีการพัฒนาที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น Nomis Wet ที่สร้างสรรค์ sticky boot (2002), theCraig Johnston Pig Boot (2003), shark technology โดย Kelme (2006) และ รองเท้า Zhero Gravity laceless โดย Lotto (2006) ก็สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดเล็กๆได้

เทคโนโลยีเลเซอร์ที่เข้ามามีส่วนช่วยในการผลิตเป็นครั้งแรกโดย Prior 2 Level

รองเท้าที่เป็นนิยมในช่วงนี้ Adidas’ F50, Tunit and Predator Nike’s Mercurial Vapor III, Air Zoom Total 90s Tiempo Ronaldinho, Reebok Pro Rage และ Umbro X Boots

ช่วงหลังๆมานี้ เวลาเราดูการแข่งขันฟุตบอลจะเห็นว่าถ้านักฟุตบอลคนไหนที่ดัง สปอนเซอร์ก็มักจะทำรองเท้าโดยเป็นชื่อนักเตะคนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น Nike Ronaldinho หรือ

CR7 ของซุปตาร์รีลมาดริด อย่างคริสเตียโน โรนัลโด้

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มาก็น้อยนะครับ แล้ววันต่อๆไปผมจะเอาเรื่องฟุตบอลที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังต่อไปนะครับ

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

รองเท้าฟุตบอล กับประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน

0 ความคิดเห็น
กว่าจะมีรองเท้าฟุตบอลหรือที่เราเรียกกันว่า"สตั๊ดฟุตบอล"มาให้เราเห็นกันแบบนี้คงต้องเท้าความไป ถึง  ค.ศ1526 กันเลยทีเดียว รองเท้าฟุตบอลเกิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยของคิงเฮนรี่ ที่8 (king henry viii) ซึ่งรองเท้าฟุตบอลถูกทำขึ้นโดยช่างทำรองเท้าสมัยนั้น คือ Cornelius Johnson ตอนนั้นรองเท้าฟุตบอลราคา คู่ละ 4 ชิลลิ่ง หรือเทียบเท่ากับเงินในปัจจุบันก็ประมาณ 100 ปอนด์ ซึ่งรองเท้าฟุตบอลสมัยนั้น ทำด้วยหนังสัตว์ ปิดเลยเหนือเข่า และหนักว่ารองเท้าในปัจจุบันมากด้วย





ผ่านมา 300ปี จากการกำเนิดรองเท้าฟุตบอล ในช่วงปี1800  ฟุตบอลมีการพัฒนาขึ้นไปมาก และเป็นที่นิยมมากในประเทศอังกฤษ แต่วัสดุที่ใช้ในการทำรองเท้าฟุตบอลยังไม่ต่างจากเดิมมากนัก ทำให้นักเตะยังคงต้องสวมรองเท้าอึ่้งในตอนเตะฟุตบอลกันต่อไป แถมยังเป็นครั้งที่มีเหล็กมาติดใต้รองเท้าเพื่อให้นักเตะมีความคล่องตัวมากขึ้นเวลาที่ต้องวิ่งในสนามฟุตบอล นักเตะที่อยู่ทีมเดียวกันก็ใช้รองเท้าเหมือนกันอยู่


จนมาถึงช่วงปี 1900 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รูปแบบของรองเท้าจึงมีการเปลี่ยนไป แต่ในช่วงปี ค.ศ 1924 ก็ยังมีบริษัทหลายยี่ห้อที่ยังคงทำรองเท้ามาในรูปแบบนี้มาจนถึง ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น gola valsport หรือ hummel


ในเยอรมันนั้น ก็มีรองเท้าฟุตบอลที่เป็นยี่ห้อที่หลายคนรู้จักกันดี แถมยังเป็นแบรนด์สินค้ากีฬาระดับโลกอย่าง อาดิดาส โดยสองพี่น้องอย่าง อดอร์ฟและรูดอร์ฟ ดาสเลอร์ ได้ผลิตรองเท้าฟุตบอลครั้งแรกในปี 1925 ที่โรงงานของเขา ในเมือง  Herzogenaurach ซึ่งเป็นแบบ 6-7 สตัดซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ตามสภาพของสนามที่จะเล่นด้วย


หวังว่าเพื่อนๆทุกคนคงจะได้ความรู้จากประวัติรองเท้าฟุตบอลไม่มากก็น้อยครับ เอาไว้ผมจะมาพูดรองเท้าฟุตบอลหลังช่วง 1940 ต่อในโอกาสหน้านะครับ


วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

10 สิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับ "เมสซี่"

0 ความคิดเห็น

ลีโอเนล เมสซี่ ที่ถือได้ว่าเป็นนักเตะที่ถือได้ว่าดีที่สุดในโลกตอนนี้ และเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลสวยงามคนหนึ่่งด้วยวัยเพียง 23 ปีก็ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักฟุตบอล ทุกรางวัลพี่แกก็กวาดมาเรียบ แต่ความสำเร็จในฐานะฟุตบอลทีมชาติก็ยังต้องใช้เวลารอกันต่อไป ในวันนี้เราจะนำเสนอ 10 สิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับ เมสซี่ กัน

1. ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การเล่น ทักษะและรูปร่างของเมสซี่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเตะรุ่นพี่ในตำนานอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า บาเซโลน่าได้นำเอา 2 ประตูที่โด่งดังของมาราโดน่ามาเปรียบเทียบว่าคล้ายกันกับเมสซี่
ประตูแรก ก็คือ ประตูที่มาราโดน่าทำได้จากการลากเลื้อยยิงประตูใส่ทีมชาติอังกฤษก็คล้ายกับการเมสซี่ยิงประตูใส่ เกตาเฟ่ และประตูที่สอง คือ "แฮนออฟก็อด"ของมาราโดน่า ก็คล้ายกับ เมสซี่ยิงประตุใส่เอสปันยอล

2.เมสซี่เคยถูกถามเกี่ยวกับการเล่นให้ทีมชาติสเปน แต่เค้าเลือกที่จะเล่นให้ทีมชาติอาเจนติน่า จากการเรียกของ La Furia Roja ทำให้อาเจนติน่ามีลุ้นในการคว้าถ้วยฟุตบอลโลก

3.สำหรับการเล่นครั้งแรกที่อาเจนติน่า เค้าอยู่ในสนามเพียง 40 วินาทีเท่านั้นก่อนถูกส่งออกจากสนาม

4.อาจฟังดูแปลกซักนิด ไม่เพียงผู้หญิงเท่านั้นที่ถอดกางเกงออกต่อหน้าเมสซี่ แต่ผู้ชายด้วย มีผู้ชายคนหนึ่งหมดหวังกับการได้รูปเมสซี่ ผู้ชายคนนั้นถูกไลล่าที่สนามบินและสุดท้ายก็นึกว่าจับได้ แต่สุดท้ายก็บจับเสื้อเค้าได้แทน

5.ในเดือน มีนาคม 2010 เมสซี่ได้กลายเป็นแอมบาสเดอร์ของยูนิเซฟ และได้ช่วยเหลือเด็กในที่ต่างต่างขององค์กร (ยูนิเซฟเป็นองค์ที่ช่วยเหลือเด็ก)

6. หลายคนชอบที่จะดูการเล่นของเมสซี่ แต่เมสซี่ไม่เคยดูไฮไลต์ของตัวเองเวลาเล่นเลย

7. ในเกมเปี่ยนลีกส์นัดนึ่งกับพานาทีไนกอส แฟนบอลชาวกรีกรายหนึ่งได้วิ่งลงจากสนามแล้ววิ่งมาโชว์นิ้วกลางใส่ เมสซี่

8. ในปี 2009 เมสซี่ได้รางวัลบัลลงดอร์ โดยได้คะแนนมากกว่าโรนัลโด้ แต่ได้ 473 คะแนนทั้งที่คะแนนโหวต มีอยู่ 480 คะแนน

9. บาเซโลน่าได้ติดต่อกับเขาเพื่่อนำไปร่วมทีมตอนเมสซี่อายุเพียง 13 ปีทั้งที่แมวมองดูการเล่นเพียงแค่ 30 นาทีและก็เป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยทีเดียว

10. ในเกมที่บาเซโลน่าบุกไปถล่มรีลมาดริด  6-2 ถึงซานอิเอโก้ เบอนาบิว เมสซี่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลบ้านรีลมาดริดจากการทำ 2 ประตู ถ้าโรนัลโด้อยากได้บ้าง รีลมาดริดคงต้องบุกไปชนะบาเซโลน่าถึงคัมป์ นู ก่อนเท่านั้นแหละ